วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณละหมาดแล้วหรือยัง ?

มุสลิมจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเยาวชนทั้งชายและหญิง กล้าที่จะละทิ้งการทำละหมาดโดยไม่มีเหตุผล โดยไม่เกรงกลัวต่อบาป การละหมาดเป็นบทบัญญัติที่จะละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด ทั้งในเวลาสุขสบายหรือยากลำบาก แม้ในยามศึกสงครามก็จำเป็นต้องละหมาด บางคนอยู่ในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟ หรือรถทัวร์แต่เขาไม่ยอมละหมาดด้วยเหตุผลที่...ยอมรับไม่ได้ว่า เสื้อผ้ามีความสกปรก หรือไม่มีผ้าปูละหมาด บางคนไม่ละหมาดเพราะไม่รู้จักวิธีการละหมาด บางคนทิ้งละหมาดโดยไม่เกรงกลัวต่อบาป และเขาจะต้องถูกลงโทษในนรกอย่างทรมานแน่นอน

การละหมาดจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งและจำเป็นที่จะต้องรู้จักความสำคัญของการละหมาดโดยตั้งคำถามว่า เราละหมาดทำไม ?” และ คำตอบมีดังนี้

1. การละหมาดเป็นเสาหลักของศาสนาอิสลาม ซึ่งมีความสำคัญเป็นลำดับแรกในการปฏิบัติศาสนกิจ หลังจากกล่าวคำปฏิญาณตน เมื่อใดเสาหลักล้มลง อิสลามในตัวของเราก็จะล้มตามไปด้วย

แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นการสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าในฐานะ ผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงสร้าง ผู้ให้ริสกีและให้ความสะดวกในการดำรงชีวิตอยู่

2. เราดำรงละหมาดเพราะความเชื่อมั่นและศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พระองค์ทรงสั่งใช้ให้ทำละหมาด ซึ่งมุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตามให้สมบูรณ์ ครบถ้วนและดีที่สุด เพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ที่พระองค์ได้ให้ความโปรดปราน และความเมตตาตลอดเวลาอย่างนับไม่ถ้วน พระองค์ประทานริสกี(ปัจจัยยังชีพ) ให้กับทุกชีวิตเพื่อการดำรงชีพอย่างไม่ขาดสาย

3. อะมัล(การงาน) อย่างแรกที่จะถูกพิจารณาในวันกิยามะฮ์ คือ การละหมาด ผู้ใดที่การละหมาดของเขาสมบูรณ์ (ตรงต่อเวลาและมีสมาธิ) เขาจะได้รับความสำเร็จ ส่วนผู้ที่การละหมาดของเขาบกพร่อง (ไม่ตรงต่อเวลา ไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีสมาธิ) เขาจะขาดทุนและจะเสียใจในภายหลัง

นะบี ได้เปรียบเทียบคนละหมาดห้าเวลาว่า

ผู้ใดที่มีคลองอยู่บริเวณหน้าบ้านของเขา แล้วเขาได้อาบน้ำในคลองนั้นห้าเวลาต่อวัน ร่างกายของเขายังติดสิ่งสกปรกหรือ ? บรรดาศอฮาบะฮ์ตอบว่า ไม่มีอะไรจะเหลือเลย ท่านนะบี กล่าวว่า แท้จริงการการละหมาดห้าเวลานั้นสามารถที่จะลบล้างบาปต่างๆ ดั่งน้ำที่สามารถล้างสิ่งสกปรกได้ แน่นอนร่างกายของเขาจะสะอาดเนื่องจากเขาจำเป็นต้องอาบน้ำละหมาด หรือ มีน้ำละหมาดทุกครั้งที่เขาจะทำการละหมาด ไม่ว่าการละหมาดห้าเวลา หรือ การละหมาดซุนนะฮ์ ซึ่งจะทำให้จิตใจของเขาบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งสกปรกทางจิตใจ โดยเฉพาะความสกปรกของบาปที่อิสลามถือว่าเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งอันตรายและความหายนะต่อมนุษย์ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า

อัลลอฮ์ ตรัสไว้ ความว่า

( แท้จริงการละหมาด ( ที่ถูกต้อง ) นั้นจะยับยั้งการทำลามกและความชั่ว ) ( ซูเราะฮ์ อัลอังกะบูต :45 )

การละหมาดที่สมบูรณ์และมีความประเส ริ ฐที่สุด คือ การละหมาดที่ถูกต้องทุกประการ ทั้งรูปแบบ เวลาและการปฏิบัติ มีสมาธิที่ดี ท่านเราะซูล ได้ให้ความสำคัญของการละหมาด เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด ท่านกล่าวว่า การงาน(อะมัล)ที่ดีที่สุด ที่อัลลอฮ์ ทรงชอบที่สุด (ส่วนหนึ่ง) คือ การละหมาดที่สมบูรณ์

ตรงกันข้าม มุสลิมที่ทำการละหมาดไม่ตรงตามเวลา โดยเจตนาและไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พอจะยอมรับได้ หรือทำการละหมาดแบบไม่มีความตั้งใจ เป็นการปฏิบัติที่ไม่พึงประสงค์ในอิสลาม ยิ่งกว่านั้นเขาจะอยู่ในกลุ่มซาฮูน (ผู้ที่ละเลยต่อการละหมาด) ซึ่งอัลลอฮ์ ทรงสัญญาไว้ว่าจะลงโทษด้วยความหายนะและความวิบัติ

ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสในอัลกุรอานความว่า

(ดังนั้นความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำการละหมาด คือ ผู้ที่พวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา) ( ซูเราะฮฺ อัลมาอูน : 4-5 )

5. เราละหมาด เพราะการละหมาดมีประโยชน์อย่างมากมายทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า เช่น

5.1 การละหมาดเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นมุสลิม เราสามารถที่จะแยกแยะระหว่างคนมุสลิมกับคนที่ไม่ใช่มุสลิมออกจากกัน ด้วยกับการละหมาด

5.2 การละหมาดเป็นคุณลักษณะของมุสลิมที่มีอามัลศอและห์(การงานที่ดี) และมีอัคล๊าก(จรรยามารยาท)ที่ดีงาม

5.3 ผู้ที่ดำรงการละหมาด คือ ผู้เดินทางแสวงหาความบริสุทธิ์ แสวงหาทางแห่งสวรรค์ และตัดขาดจากความเลวร้ายทั้งปวง ดังนั้นผู้ที่ละหมาดอย่างสม่ำเสมอและครบถ้วน ปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เขาจะได้รับผลบุญและได้เข้าสวรรค์ ซึ่งเป็นการสัญญาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตา กรุณาปรานี ต่อบ่าวที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์และเราะซูล

6. เราไม่ทิ้งละหมาด เพราะการทิ้งละหมาดถือว่าเป็นการทรยศและฝ่าฝืนคำบัญชาของอัลลอฮ์ และเราะซูล ยิ่งไปกว่านั้นจะมีสภาพเป็นกาฟิร์ (ผู้ปฏิเสธ)หากเขาปฏิเสธการละหมาด

7. การละหมาดนั้นเป็นหน้าที่ของมุสลิม ที่ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ละหมาดถือว่าเราเป็นผู้ทำลายศาสนาของเราเอง ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาอิสลามได้ถูกบิดเบือนมากพอแล้ว จากผู้ไม่หวังดี

8. เราละหมาด เพราะเราต้องการตายในสภาพมุสลิม ที่ปฏิบัติหน้าที่ภักดีต่ออัลลอฮ์ อย่างดีที่สุด ในทุกๆ อิบาดะฮ์(ทำความเคารพ) โดยเฉพาะการละหมาด

( พวกเจ้าจงอย่าตายเป็นอันขาดนอกจากพวกเจ้าเป็นมุสลิมเท่านั้น ) ( ซูเราะฮฺอาละอิมรอน :102)

9. เราละหมาด เพราะไม่อยากเข้านรก ดังที่อัลลอฮ์ ทรงถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนหนึ่งเข้านรก สะก็อร

พวกเขาตอบว่า เรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำละหมาด เรามิได้ให้อาหารแก่บรรดาผู้ขัดสน และพวกเขาเคยมั่วสุมอยู่กับพวกที่มั่วสุม


โอ้ ! พี่น้องมุสลิม มาดำรงละหมาดกันเถอะ มาปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตามที่ท่านนะบีมุฮัมมัด ได้สอนไว้ ละหมาดให้ตรงเวลาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยสมาธิ และความตั้งใจอย่างแท้จริง

โปรด ! ชักชวน พี่ น้อง สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนๆ ของเราให้มาละหมาด เพื่อรับความเมตตาจาก อัลลอฮ์ ในโลกนี้ และพ้นจากความทรมาน และไฟนรกในโลกหน้า (อะคีเราะฮ์)

จงละหมาดเถิด ก่อนที่ท่านจะถูกละหมาด

และจงเตาบัต (สำนึกผิด)กลับใจไปสู่อัลลอฮ์ เถิด

ก่อนที่ประตูแห่งการเตาบัต จะถูกปิด

ข้อมูล :
http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=50&id=849

การโกหกสามารถกระทำได้

อิหม่ามอัน-นะวาวีย์ (ร.ฮ.) ได้กล่าวไว้ในหนังสือริยาฎุศศอลิฮีน บทที่ 261 ว่าด้วยการอธิบายถึงสิ่งที่อนุญาตให้โกหกได้ : จงรู้เถิดว่า แท้จริงการโกหกนั้น ถึงแม้ว่าหลักเดิมของมันเป็นสิ่งต้องห้าม ก็อนุญาตให้โกหกได้ในบางกรณีโดยมีบรรดาเงื่อนไข ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้ความกระจ่างเอาไว้ในตำราอัล-อัซก๊ารฺ

กล่าวโดยสรุปคือ คำพูดนั้นเป็นสื่อที่นำไปสู่เป้าหมายต่างๆ ดังนั้นทุกๆ เป้าหมายที่ได้รับการสรรเสริญซึ่งสามารถในการทำให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีการโกหก ก็ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามในการโกหกในเรื่องนั้นและถ้าหากไม่สามารถทำให้มัน เกิดขึ้นได้นอกเสียจากด้วยการโกหก ก็อนุญาตให้โกหกได้ หลังจากนั้นก็ต้องพิจารณาว่า หากการทำให้เป้าหมายนั้นเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกอนุญาตการโกหกก็เป็นสิ่งที่ ถูกอนุญาต และถ้าหากว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น การโกหกนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น


ฉะนั้นเมื่อมีมุสลิมคนหนึ่งหลบซ่อนจากผู้ที่อธรรมซึ่งหมายเอาชีวิตมุสลิมผู้ นั้น หรือเอาทรัพย์สินของมุสลิมผู้นั้น แล้วเขาก็ซ่อนทรัพย์สินเอาไว้ และมีคนหนึ่งถูกถามถึงมุสลิมผู้นั้น หรือทรัพย์สินของเขา ก็จำเป็นต้องโกหกเพื่อปิดบังเขาผู้นั้นหรือซ่อนมันเอาไว้ ในทำนองเดียวกัน หากว่าเขามีของฝาก แล้วคนที่อธรรมประสงค์จะเอาของฝากนั้น ก็จำเป็นต้องโกหกด้วยการซ่อนมันเอาไว้ ที่ดีที่สุดในการเผื่อเอาไว้ในเรื่องนี้ ทั้งหมดคือให้ใช้สำนวนอัตเตารียะฮฺ กล่าวคือผู้นั้นมุ่งหมายด้วยถ้อยคำของตน ซึ่งเป้าหมายที่ถูกต้องโดยไม่เป็นการโกหกสำหรับตัวเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นคำโกหกตามลักษณะรูปคำที่โกหกและสำหรับสิ่งที่ผู้ถูกสนทนา ด้วยเข้าใจ และถ้าสมมติว่าเขาละทิ้งการใช้สำนวนอัตเตารียะฮฺ (สองง่ามสองแง่) แล้วใช้สำนวนโกหกโดยตรงก็ถือว่าไม่เป็นสิ่งต้องห้ามในกรณีนี้


บรรดานักปราชญ์ได้อาศัยหลักฐานที่อนุญาตให้โกหกได้ในกรณีนี้ด้วยหะดีษของ ท่านหญิงอุมมุกุลซูม (ร.ฎ.) ว่า นางได้ยินท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า :

لَيْسَ الكَذَّابُ الَّذىْ يُصْلِحُ بَيْنَ النَّاسِ ، فَيَنمى خيرًا أويَقُولُ خيرًا

“ย่อมมิใช่ผู้โกหก บุคคลซึ่งประนีประนอมระหว่างผู้คนให้ดีกัน แล้วเขาก็บอกสิ่งที่ดีหรือพูดสิ่งที่ดี” (รายงานพ้องกันโดยบุคอรี-มุสลิม)

อิหม่ามมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมในริวายะฮฺหนึ่งว่า : อุมมุกุลซูม กล่าวว่า : “ฉันไม่เคยได้ยินว่าท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ผ่อนปรนในสิ่งใดจากสิ่งที่ผู้คนพูดกันนอกเสียจากใน 3 เรื่อง หมายถึง การทำสงคราม, การสมานฉันท์ระหว่างผู้คน และการพูดของสามีกับภรรยาของตน และการพูดของภรรยากับสามีของนาง” (ริยาฎุศศอลิฮีน 539-540)

ที่มา : http://www.alisuasaming.com/index.php/webbord/27----/1131

หิญาบ อาภรณ์อันเป็นแฟชั่นของสตรีผู้บริสุทธิ์


โดย อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ

                ในปีที่สองแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช โองการเกี่ยวกับหิญาบก็ได้ประทานลงมา เป็นโองการที่ประทานมาเป็นคำสั่งเฉพาะสำหรับภรรยาของท่านรอซูล ศ้อลฯ นั่นคือ โองการที่ว่า :-

[ وَإِذَاسَأَلْتُمُوْهُنَّمَتَاعًافَاسْئَلُوْهُنَّمِنْوَرَاءِحِجَابٍ،ذلِكُمْأَطْهَرُلِقُلُوْبِكُمْوَقُلُوْبِهِنَّ ]
[ سُوْرَةُاْلأَحْزَابِ،اَْلآيَةَ : 53 ]

                ความว่า และเมื่อท่านขอหรือถามสิ่งใด พวกท่านจงถามพวกนางหลังสิ่งปิดกั้น ดังกล่าวนั้นจะเป็นการบริสุทธิ์อย่างยิ่งแก่จิตใจของพวกท่านและพวกนาง
อะห์ซาบ 53

                สำหรับสตรีที่มิใช่คู่ครองของท่านศาสดา ศ้อลฯ ได้ถูกบัญชาให้ลดสายตาลงให้ต่ำ และต้องไม่เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง
การหิญาบมีสามประเภทสองลักษณะ

                ลักษณะที่หนึ่ง    เฉพาะบรรดาคู่ครองของท่านรอซูล ศ้อลฯ
              ลักษณะที่สอง    ครอบคลุมถึงบรรดาสตรีโดยทั่วไปด้วย
                ประเภทที่หนึ่ง ปิดทั้งร่างกายรวมทั้งใบหน้าและฝ่ามือด้วย นั่นคือ ความหมายของโองการเกี่ยวกับหิญาบที่ประทานลงมาให้แก่บรรดาคู่ครองของรอซูล ศ้อลฯ ซึ่งรูปแบบการหิญาบนี้ เฉพาะสำหรับบรรดาคู่ครองของรอซูล ศ้อลฯ
                ประเภทที่สอง ปิดทั้งร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองข้าง และอาจารย์บางท่านเพิ่มเท้าทั้งสองข้างด้วย โดยให้เหตุผลว่าคนจน ๆ เป็นเกษตรกร มีความจำเป็นต้องเปิดเท้าทั้งสองเพื่อสะดวกในการเกษตรกรรม
                อัล-กุรอ่านกล่าวว่า :-

[ يَاأَيُّهَاالنَّبِيُّقُلِْلأَزْوَاجِكَوَبَنَاتِكَوِنِسَاءِالْمُؤْمِنِيْنَيُدْنِيْنَعَلَيْهِنَّمِنْجَلاَبِيْبِهِنَّ ]
[ سُوْرَةُاْلأَحْزَابِ،اَْلآيَةَ : 59 ]

                ความว่า โอ้นบี ท่านจงสั่งให้บรรดาคู่ครองของท่านและบรรดาธิดาของท่าน ตลอดจนหญิงผู้ศรัทธาทุก ๆ คน ให้พวกเขาดึงเสื้อคลุมของพวกเขาลงมาปิดตัวของพวกเขา และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก
อะห์ซาบ 59

[ وَلاَيُبْدِيْنَزِيْنَتَهُنَّإِلاَّمَاظَهَرَمِنْهَاوَلْيَضْرِبْنَبِخُمُرِهِنَّعَلَىجُيُوْبِهِنَّ ]
[ سُوْرَةُالنُّوْرِ،اَْلآيَةَ : 31 ]
อันนูร 31
                ความว่า และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก

                โองการนี้หมายถึง ผู้ศรัทธาหญิงโดยทั่วไป
                ประเภทที่สาม ต้องไม่ปะปนกันระหว่างชายกับหญิง นอกจากต้องมีผู้ที่เป็นญาติที่แต่งงานกับเธอไม่ได้ร่วมอยู่ด้วย
                นี้เป็นบทบัญญัติที่ใช้กับหญิงผู้ศรัทธาทั้งหมด    ซึ่งมีความหมายรวมถึงบรรดาคู่ครองของนบี ศ้อลฯ และหญิงผู้ศรัทธาอื่น ๆ
                ดังท่านนบี ศ้อลฯ กล่าวว่า :-

[ لاَيَخْلُوَنَّرَجُلٌبِامْرَأَةٍإِلاَّمَعَذِيْمَحْرَمٍ ]

                ความว่า ผู้ชายกับผู้หญิงต้องไม่อยู่ลำพังนอกจากต้องมีผู้ที่นางแต่งงานไม่ได้รวมอยู่ด้วย


จาก web rabity.ac.th
ที่มา : http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=4973.0

ฟัรดูอีนกับฟัรดูกีฟายะฮฺ

คำถามที่ : 15029
คำถาม : ฟัรดูอีนกับฟัรดูกีฟายะฮฺ
อัสลามูอลัยกุมค่ะ อ.มุรีด
อยากขอให้อ.มุรีดช่วยอธิบายความหมายของ ฟัรดูอีน กับ ฟัรดูกีฟายะฮฺ หน่อยนะคะ
คือว่าหนูไม่เข้าใจอ่ะคะ ถ้าจะดีช่วยยกตัวอย่างให้ด้วยก็ดีนะค่ะ
ขอบคุณค่ะ

by: มูอัลลัฟ - - 3/8/2010

คำตอบ :

วะอะลัยกุมุสสลามครับ

คำตอบ คำว่า "ฟัรฺฎูอีน" หมายถึง ข้อบังคับทางศาสนาสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติ หากใครละทิ้ง (โดยไม่มีข้อยกเว้นทางศาสนา) ถือว่ามีความผิด เช่น การนมาซฟัรฺฎูวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 5 เวลา, การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน เป็นต้น

ส่วนคำว่า "ฟัรฺฎูกิฟายะฮฺ" นั้นหมายถึง ข้อบังคับทางศาสนาสำหรับมุสลิมจะต้องปฏิบัติ แต่ทว่า หากมีมุสลิมคนใดทำแทน หรือมุสลิมบางกลุ่มทำแทนแล้ว มุสลิมคนอื่นๆ ถือว่าพ้นผิดไปด้วย ตัวอย่าง การนมาซญะนาซะฮฺ (นมาซให้คนตาย) เป็นต้น. والله أعلم
by: มุรีด ทิมะเสน - mureed@mureed.com - 4/8/10 23:19


วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เขาอ้างว่า อัลกุรอ่านบอกว่า โลกแบน ??

  


   بسم الله الرحمن الرحيم 
In the name of Allah, the most gracious, the most merciful
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณีเสมอ

โดย Hassan Aero

------------------------------------------------
      สืบเนื่องจากพี่น้องต่างศาสนิกท่านนึงได้กล่าวหาว่า อัลกุรอ่านบอกว่าโลกแบน โดยเธอผู้นั้นได้กล่าวอ้างมาว่า


"อัลเลาะห์คลี่โลกออกมาเหมือน พรม CARPET"






เพียงเท่านี้พวกเขาก็สรุปเอาเองแล้วว่า มันจะต้องแบน เอาละเรามาไล่เรียงจากหลักฐานในอัลกุรอ่านกัน แล้วจะได้เข้าใจ


การคลี่ออกมาเหมืนพรม นั่นไม่ได้หมายความว่า โลกจะแบน แต่หมายถึงว่าแผ่นดินนั้นแบนราบ มันต่างกันนะครับ
อัล-อัรฎ แปลว่า แผ่นดิน

ผมขอยกข้อความจากอัลกุรอ่าน

"(กุรอ่าน88:20) "และยัง(ไม่พิจารณา)แผ่นดินบ้างหรือว่ามันถูกแผ่ลาดไว้อย่างไร ?"

.....โองการนี้เกี่ยวกับ "การใช้สติปัญญาพินิจ พิเคราะห์" ครับ ต่อเนื่องมาจาก
(กุ รอ่าน88:17) "พวกเขาไม่พิจารณาดู...."  จึงเป็นการบอกในลักษณะที่คนทั่วไปในสมัยนั้นสังเกตุเห็นได้ นั่นก็คือ  หากมองแผ่นดิน(โลก) ออกไปแล้ว จะเหมือนกับว่า แผ่นดินได้ถูกลาดออกไป เป็นแผ่นๆ

อยากให้ลองดูอีกโองการนึงคือ
(กุ รอ่าน15:19) "และแผ่นดินนั้นเราได้แผ่มันออกไป และเราได้ทำให้มีเทือกเขาเป็นที่ยึดอย่างมั่นคง และเราได้ให้ทุกสิ่งงอกเงยอย่างสมดุล"
อันนี้เป็นการพูดถึงการสร้าง สรรค์ของพระเจ้าครับ ที่น่าทึ่งของโองการนี้คือ เป็นการกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดในกุรอ่านว่า "โลกใบนี้ กลม!!" ทำไม?

"เรา ได้แผ่มันออกไป" ในโองการนี้ ใช้คำว่า "มะดัดนา" แปลเป็น"Extended" หากโลกใบนี้"แบน" เราจะใช้คำว่า "มะดัดนา" ไม่ได้ เพราะเดินๆอยู่ เราเองจะตกขอบโลก!! แต่คำนี้ หมายถึงการที่เราเดินอยู่ แล้วก็สามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก เมื่อเราเดินต่อๆไปแล้ว ก็ต่อไปอีก วนๆ จนกลับมาอีกทีครับ การที่คุณเห็นว่า แผ่นดินถูกแผ่ลาด คุณก็สรุปเอาเองว่า มันแบน อะไรที่มันราบเรียบจำเป็นต้องแบนเสมอ รึอย่างไร อย่างลูกตาคุณ ผมถามว่ามันราบไหม แล้วมันแบน ? น่าจะพอเห็นภาพนะ

การแผ่ขยายของพื้นดินกับโลกแบนมันต่างกันนะครับ คนที่เข้าใจว่าโลกแบน ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะเข้าใจว่าพื้นโลกกำลังขยายตัว

คง เคยได้ยินเรื่องของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Plate Tectonics) ที่เสนอว่าพื้นโลกเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน เรียกว่า PANGAEA ซึ่งต่อมาค่อยๆ เคลื่อนตัวขยายออกมาก จนกลายมาเป็นทวีปต่างๆในปัจจุบัน

แผ่น เปลือกโลกไม่ได้อยู่นิ่ง แต่มีการเคลื่อนที่คล้ายการเคลื่อนย้ายวัตถุบนสายพานลำเลียงสิ่งของ จากผลการสำรวจท้องมหาสมุทรในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐ พบว่า มีแนวสันเขากลางมหาสมุทร รอบโลก (Global Mid Ocean Ridge) ซึ่งมีความยาวกว่า ๕๐,๐๐๐ กิโลเมตร กว้างกว่า ๘๐๐ กิโลเมตร จากการศึกษาทางด้านธรณีวิทยา พบว่า หินบริเวณสันเขาเป็นหินใหม่ มีอายุน้อยกว่าหินที่อยู่ในแนวถัดออกมา จึงได้มีการตั้งทฤษฎีว่า แนวสันเขากลางมหาสมุทรนี้คือ รอยแตกกึ่งกลางมหาสมุทร รอยแตกนี้เป็นรอยแตกของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งถูกแรงดันจากหินหนืดภายในเปลือกโลกดันออกจากกันทีละน้อย รอยแยกของแผ่นเปลือกโลกที่กล่าวมาแล้ว ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกต่างๆ




51:48 And we made the earth habitable; a perfect design.
51:48 และแผ่นดินนั้น เราได้แผ่ขยายมันออกไป ดังนั้นเราเป็นผู้แผ่ขยายที่ยอดเยี่ยม


พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินด้วยความจริงอันชัดแจ้ง พระองค์ทรงให้ 
กลางคืนที่คาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวัน และทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน…”  
(อัลกุรอาน 39:5)  
  
ในอัลกุรอาน คำที่ใช้บรรยายถึงจักรวาลนั้นน่าสนใจยิ่ง คำภาษาอาหรับว่า “ ตักวีร ” หมายความว่า “สิ่งหนึ่งเกยซ้อนกับอีกสิ่งหนึ่ง เหมือนกับการพับผ้า” (พจนานุกรมภาษาอาหรับอธิบายว่า เป็นการพันสิ่งหนึ่งเข้ากับอีกสิ่งหนึ่ง) 
ข้อ ความในอายะฮ์เกี่ยวกับเวลากลางวันและกลางคืนที่คาบเกี่ยวซึ่งกันและกัน แสดงข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสัณฐานของโลก การคาบเกี่ยวกันในลักษณะดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อโลกมีรูปทรงกลมเท่า นั้น ความจริงข้อนี้ได้ปรากฏชัดอยู่ในอัลกุรอานตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 แล้ว ทั้งที่ในขณะนั้นเรื่องสัณฐานกลมของโลกยังไม่มีใครรู้เลย  
อย่าง ไรก็ตามเราควรตระหนักว่าความเข้าใจทางดาราศาสตร์ในเวลานั้น ทำให้เรารับรู้เกี่ยวกับโลกได้แตกต่างกัน แต่ก่อนนั้นเคยเชื่อกันว่า โลกแบน การคำนวณและการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ล้วนอาศัยความเชื่อนี้ แต่ทว่าข้อความในอัลกุรอานกลับมีข้อมูลที่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบกันเมื่อศตวรรษ ที่แล้วนี้เอง เนื่องจากอัลกุรอานเป็นวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ทุกถ้อยคำในอัลกุรอานจึงเป็นจริงเสมอ รวมทั้งเรื่องที่กล่าวถึงจักรวาลก็เช่นกัน  


การ คาบเกี่ยวกันของกลางวันและกลางคืน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เห็นภาพ ลองเอามือขึ้นมา สมมติให้ฝ่ามือเป็นกลางวัน และหลังมือเป็นกลางคืน แล้วลองพลิกมือไปมาให้เร็ว ๆ ลองดูที่มือ ว่ามีลักษณะเป็นวงกลมหรือไม่?

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากอัลกุรอ่าน  อัลกุรอ่าน คือ สัจธรรม ไม่ใช่สารานุกรมทางวิทยาศาสตร์

[10.37] และอัลกุรอานนี้มิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนก ข้อบัญญัติต่าง ๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้น ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก

นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่อยากให้พี่น้องได้ทำความเข้าใจ ไว้จะมาเพื่มเติมให้ใหม่ อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม

ปล. โองการที่เขาอ้างนั้น

‎"And Allah has made the Earth for you as a CARPET (spread out)" (Quran Sura 71:19)
และ อัลเลาะห์ ได้สร้างโลกสำหรับคุณดังเช่น พรม (ที่คลี่ออกมา)


ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความหมายคือ
"และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน"


คิด ง่าย ๆ การเปรียบเทียบดังเช่นพรม เมื่อนำไปคลุมกล่องสี่เหลี่ยม มันก็ต้องเป็นสี่เหลี่ยม แล้วพรมถ้าไปคลุมลูกบอล มันยังจะแบนอยู่รึป่าว ?

อัล กุรอ่าน ถูกประทานลงมาเป็นภาษาอาหรับ การที่จะใช้ภาษาอื่นไปแปลให้ได้ใจความครบทั้งหมด คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้แปลพยายามใช้คำที่ภาษาของตนใกล้เคียงหรือ คุ้นหูมากที่สุด เพื่อรักษาความหมายให้ใกล้เคียง ทางที่ดีที่สุด คือต้องเรียนรู้ภาษาอาหรับ อย่างถ่องแท้และเชี่ยวชาญ

http://www.facebook.com/takeoffz#!/note.php?note_id=176950112329819

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การปฏิบัติของท่านรอซูล ต่อบรรดาศัตรู

การปฏิบัติของท่านรอซูล ต่อบรรดาศัตรู

           ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ไม่ ต้องการเป็นศัตรูกับทุกคน แต่ทว่าบรรดาศัตรูได้พยายามทำร้ายท่าน เพราะท่านถูกส่งมาเพื่อให้ทางสว่างแก่มวลมนุษย์ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะดึงพวกเขาออกจากความมืดมิดสู่แสงสว่าง และออกจากความหลงผิดสู่หนทางที่เที่ยงตรง ท่านจะมีความสุขมากเมื่อได้ช่วยคนๆ หนึ่งออกจากความเลวร้ายสู่ความผาสุข จากความหลงผิดสู่หนทางสว่าง ท่านเราะซูลลุลลอฮ์  อด ทนอย่างมากต่อการถูกทำร้ายจากกลุ่มชนที่ต่อต้าน แต่ท่านเองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในการที่จะทำให้พวกเขาได้รับแสงสว่าง เหล่านี้คือตัวอย่างจากมารยาทที่ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ปฏิบัติต่อบรรดาศัตรู

ความจริงจังในการที่จะให้พวกเขาได้รับแสงสว่าง
           ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ เอาใจใส่อย่างมากในการที่จะชี้นำศัตรูสู่ทางสว่าง ท่านจะเสียใจและเจ็บปวดมากขณะที่พวกเขาเหล่านั้นเมินเฉยการเผยแพร่ ท่านจริง จัง แต่พวกเขากับทำร้ายท่านมากยิ่งขึ้น
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกล่าวไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
           “บางทีเจ้าอาจเป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้าด้วยความเสียใจ เนื่องจากการผินหลังของพวกเขา หากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้” ( อัลกะฮ์ฟี่ 18 : 6)
อีกโองการหนึ่ง อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา   ทรงตรัสว่า :
           “บางทีเจ้า (มุฮัมมัด) เป็นผู้ทำลายชีวิตของเจ้า เพราะพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา”  ( อัชชุอะรออ์ 26 : 3)
           หมายความว่า ท่านเสียใจ อันเนื่องจากการปฏิสธศรัทธาของพวกเขา (*1*)

การขอดุอาร์ให้ได้รับทางนำและห่างไกลจากความหลงผิด
           หลายๆ ครั้งที่ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้ ขอดุอาร์ต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประทานทางสว่างแก่ผู้ต่อต้านศาสนา และผู้ที่หลงผิด ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา   ทรงตอบรับคำขอ โดยการให้หัวอกของบุคคลนั้นมีความเข้าใจต่ออัลอิสลาม เช่น การขอดุอาร์ให้ท่าน อุมัร บิน คอฎฏอบ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ โดยที่ท่านขอว่า :
           “โอ้อัลลอฮ์ขอพระองค์ได้ทรงทำให้อิสลามสูงส่งจากชายสองคน อันเป็นที่รักของข้าพระองค์ คือ อบูญะฮัล หรือ อุมัร บิน คอฎฏอบด้วยเถิด” (*2*)  
            และแล้วเผ่า เด้าซ์ ก็ตอบรับอิสลาม เนื่องจากการขอดุอาร์ของท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ให้แก่พวกเขา และในขณะที่ท่าน ตุฟัย บินอัมริ อัดเดาซีย์ ได้เรียกร้องเชิญชวนกลุ่มชนในเผ่าของเขาสู่อิสลาม และมีผู้คนคัดค้านต่อต้าน เขาจึงกลับมายังท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ท่านจึงขอดุอาร์ให้แก่กลุ่มชนของเขา แต่ทว่าเขาปฏิเสธ ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จึงขอดุอาร์ว่า :
           “โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงให้ทางสว่างแด่ชาวเด้าซ์ด้วยเถิด”
แล้วท่านเราะซูลลุลลอฮ์  ก็พูดว่า :
          
           “เจ้าจงกลับไปเถิด จงเชิญชวนพวกเขาด้วยความนิ่มนวล”
           เขาจึงกลับไปและได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนอีกครั้ง และพวกเขาได้เข้ารับอิสลาม(*3*)  เมื่อวันพิชิต ตออิฟ ในขณะที่พวกเขาฝ่าฝืนต่อบรรดามุสลิมีน ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ได้ เรียกร้องให้บรรดาศอฮาบะฮ์เปิดการล้อมให้กับเผ่า สะกีฟ และเชิญชวนให้กลุ่มมุสลิมขอดุอาร์ให้แก่ศัตรู แต่บรรดามุสลิมปฏิเสธ ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จึงขอดุอาร์ให้แก่พวกเขาโดยกล่าวว่า : 
          “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงให้ทางสว่างแก่ชาวสะกีฟด้วยเทอญ” (*4*) 
           และไม่นานเผ่าสะกีฟ ก็มาประกาศรับอิสลาม

ให้อภัยทั้ง ๆ ที่สามารถจะเล่นงานพวกเขาได้
           หลังจากการเสียชีวิตของลุง คือ อะบู ฎอลิบและภรรยา ท่านหญิง คอดีญะฮ์  พวกกุเรชได้ทำร้ายท่านหนักข้อมากขึ้น ท่านจึงเดินทางไปยังฎออีฟ แต่กับพบว่าพวกเขาพยายามทำร้ายท่านยิ่งกว่าชาวมักกะฮ์เสียอีก และในขณะที่เดินทางผ่านเมืองฎออีฟ ระหว่างทาง ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้มาหาแล้วบอกว่า :

           “แท้ จริง อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของกลุ่มชนของท่านแล้ว และทราบดีถึงสิ่งที่พวกเขาตอบโต้ท่าน และอัลลอฮ์ได้ส่งมายังท่านแล้ว มะลักแห่งขุนเขา เพื่อที่จะให้ท่านได้ใช้เขาให้แก้แค้นได้ตามที่ท่านต้องการ”
โดยที่มะลักแห่งขุนเขาได้เรียกท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ว่า :

           “โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย หากท่านต้องการที่จะจัดการกับพวกนี้ ข้าจะทำลายพวกนี้อย่างราบคาบ”
ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ตอบว่า : 
           “ฉันหวังให้อัลลอฮ์ นำเขาออกมาจากความหลงผิดสู่การทำอิบาดะห์แด่พระองค์เพียงผู้เดียว โดยไม่ตั้งภาคีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด”
           ท่านเราะซูลลุลลอฮ์  อภัยโทษให้แก่ชาวกุเรชขณะที่พิชิตเมืองมักกะฮ์นั้น โดยที่ท่านกล่าวแก่พวกเขาว่า :
           “พวกท่านทั้งหลายไม่มีความผิดแล้วขณะนี้ เพราะอัลลอฮฺทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาแล้ว”  (*5*)
           และท่านยังได้ให้อภัยโทษให้แก่ท่าน เฆาริษ บิน ฮาริษ ทั้งๆที่เขาพยายามที่จะฆ่าท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ครั้นเมื่อเขากลับไปยังพวกพ้องของเขา เขากล่าวว่า :
           “ฉันได้มาจากคนที่ดีที่สุดในหมู่มนุษย์”  (*6*) 

ให้เกียรติต่อสนธิสัญญาที่ทำขึ้น
           ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์เลยว่า ท่านเราะซูลลุลลอฮ์   ทำสัญญากับผู้ใดแล้วท่านก็ผิดสัญญา ถึงแม้ว่าผู้ที่ท่านทำสัญญานั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม ในเรื่องนี้ศัตรูของท่านได้ยืนยัน ซึ่งขณะที่ชาวยะฮูดี คนหนึ่ง ชื่อ ฮัยยี บุตรของ อัคต็อบ ลุกขึ้นพูดกับ กะอฺ บิน อะซัด ซึ่งเป็นผู้นำยิวจากเผ่าบะนี กุรอยเซาะฮ์ ซึ่งต้องการจะฉีกสัญญาที่ทำกับท่านเราะซูลลุลลอฮ์ แล้วรวมตัวกับพวกพันธมิตร, คำพูดที่กะอฺบพูดกับฮัยย์ ในตอนแรกว่า :
           “ฉันได้ทำสัญญากับมุฮัมมัด และฉันจะไม่ผิดสัญญาที่ทำไว้กับเขา เพราะฉันไม่เคยพบเลยสักครั้งที่เขาผิดสัญญา เพราะเขารักษาสัญญาและซื่อสัตย์มาตลอด” (*7*)  

จำกัดขอบเขตในการทำสงครามให้อยู่ในวงแคบที่สุด
           การทำสงครามของท่านเราะซูลลุลลอฮ์  กับบรรดาศัตรู จะแตกต่างกับการทำสงครามของคนอื่นๆบนแผ่นดินนี้  เพราะท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ไม่เคยคิดที่จะฆ่าคู่ปรปักษ์ของท่านเลย หากแต่ที่ต้องทำสงคราม เพราะเกิดภาวะคับขันอันเนื่องมาจากการถูกปิดกั้นการเผยแพร่ศาสนาของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยเหตุนี้การทำสงครามจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายของผู้ที่จะเข้ารับอิสลาม   
อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสว่า :
           “และพวกเจ้าจงต่อสู้กับพวกเขา จนกว่าความวุ่นวายจะหมดไป และการอิบาดะฮ์ทั้งมวลจะต้องเป็นสิทธิของอัลลอฮ์แต่เพีงผู้เดียว ถ้าหากพวกเขายุติ แน่นอนอัลลอฮ์ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”  ( อัลอันฟาล 8 : 39)
          การทำสงครามของท่านเราะซูล เป็นการทำสงครามที่ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในสนามรบ และกับบุคคลที่ทำตัวแข็งข้อกระด้างกระเดื่องต่อต้านอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอา ลา และเราะซูลของพระองค์ เมื่อท่านแต่งตั้งผู้นำกองกำลังทหารหรือหัวหน้า ซะรียะฮ์ (سرية   กำลังทหารมีจำนวนตั้งแต่  5 ถึง 300 นาย ) ท่านนะบี จะกำชับผู้นำทัพให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และบรรดามุสลิมีนที่อยู่ร่วมกับเขาให้กระทำสิ่งที่ดีงาม แล้วท่านนะบี  ได้กล่าวว่า :
           اغْزُوا بِاسْمِ اللَّهِ فِي سَبِيلِ اللَّهِ قَاتِلُوا مَنْ كَفَرَ بِاللَّهِ اغْزُوا وَلاَ تَغُلُّوا وَلاَتَغْدِرُوا وَلاَ تَمْثُلُوا وَلاَ تَقْتُلُوا وَلِيدًا وَإِذَا لَقِيتَ عَدُوَّكَ مِنْ الْمُشْرِكِينَ فَادْعُهُمْ إِلَى ثَلاَثِ خِصَالٍ أَوْ خِلاَلٍ فَأَيَّتُهُنَّ مَا أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ ثُمَّ ادْعُهُمْ إِلَى الإِسْلاَمِ فَإِنْ أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ .....فَإِنْ هُمْ أَبَوْا فَسَلْهُمْ الْجِزْيَةَ فَإِنْ هُمْ أَجَابُوكَ فَاقْبَلْ مِنْهُمْ وَكُفَّ عَنْهُمْ فَإِنْ هُمْ أَبَوْا فَاسْتَعِنْ بِاللَّهِ وَقَاتِلْهُمْ
           “พวก เจ้าจงสู้รบด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ในหนทางของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกท่านจงสู้รบกับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พวกท่านจงสู้รบและจงอย่าบิดพลิ้ว อย่าฉ้อฉลทรัพย์เชลยและอย่าผิดสัญญา อย่าทำสิงที่น่ารังเกรียจ อย่าทำคนตายให้เสียโฉม (ด้วยการตัดจมูก ตัดหู ในขณะที่มีชีวิตอยู่) และอย่าสังหารเด็กเล็ก และเมื่อท่านได้เผชิญหน้ากับศัตรู จากพวกมุชริกีนจงเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาสู่สิ่งสามประการ ไม่ว่าพวกเขาจะตอบรับท่านประการใด จงรับพวกเขา และจงหยุดยั้งการทำสงครามกับพวกเขา จงเชิญชวนพวกเขาเข้ารับอิสลาม หากพวกเขาตอบรับการเชิญชวนก็จงรับการตอบรับ และจงยุติการทำสงครามกับพวกเขา....หากพวกเขาปฏิเสธ ก็จงเรียกเก็บ อัลญิซยะฮ์ (ภาษีหัว) และหากพวกเขายอมจ่ายให้แก่ท่าน ก็จงรับการตอบรับและจงยุติการทำสงคราม และหากพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมจ่ายภาษีหัว ก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และจงทำสงครามกับพวกเขา”  (*8*) 

การปฏิบัติต่อผู้ที่รอดชีวิตตามสิทธิและหน้าที่
           มีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้สัญญาคุ้มครองและดูแลของมุสลิม หรือเป็นกลุ่มมุนาฟิกีน(พวกกลับกลอก)ที่แสดงถึงการยอมรับนับถืออิสลามภายนอก แต่ปกปิดซ่อนเร้นการปฏิเสธศรัทธา และการเป็นศัตรูกับบรรดามุสลิมเอาไว้ ท่านเราะซูล จะปฏิบัติในส่วนที่เป็นสิทธิ และหน้าที่สำหรับพวกเขาอย่างดี
           ดังเช่น สิทธิในการเป็นเพื่อนบ้าน หากพวกเขานั้นเป็นเพื่อนบ้าน หรือสิทธิในการเป็นญาติ หากพวกเขาเป็นญาติ
           ท่านเราะซูล เคยมีเพื่อนบ้านที่เป็นยิว  และท่านมีเด็กรับชาวยิว เมื่อเด็กคนนั้นป่วยเขาได้หายหน้าไป ท่านเราะซูล ได้ไปเยี่ยมและได้เชิญชวนให้เขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม แล้วเขาก็ได้รับอิสลาม (*9*) 
           ที่กล่าวมาคือ มารยาท อุปนิสัย และบุคลิกภาพของท่านนะบี เพียงน้อยนิดที่นำมาเสนอ และยังต้องการให้รำลึกนึกถึงมารยาท บุคลิกภาพในการดำรงชีวิตส่วนตัวของท่าน เช่น การใช้ชีวิตอย่างสันโดษ อยู่อย่างพอเพียง การห่างไกลจากความสุขสบายอันฉาบฉวย ความสะอาด ความรัก การสวมใส่เสื้อผ้า การใช้เครื่องหอม วิธีกินอยู่ การแต่งกาย การนอน การเดิน และความกล้าหาญของท่าน ฯลฯ ตลอดจนจรรยามารยาท โดยรวมซึ่งไม่สามารถจะนำมากล่าวได้ทั้งหมด แต่จรรยามารยาทของท่านนะบี นั้นได้ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือเกี่ยวกับจรรยามารยาทและสุนัตต่างๆมากมาย


ดร.อัดุลลอฮฺ  อิบนุ อับดิรเราะฮ์มาน อัลค็อรอา

ที่มา  http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=10&id=1842



ความประเสริฐของเดือนมุฮัรรอม

เดือนมุฮัร รอมเป็นเดือนหนึ่งในบรรดาสี่ เดือนที่ต้องห้าม(อัลอัชฮุรุลหุรุม) ดังพระกำหนดที่ถูกระบุในซูเราะตุตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 36 ซึ่งมีใจความว่า 


إِنَّ عِدَّةَ الشُّهُوْرِ عِنْدَ اللهِ اثْنَا عَشَرَ شَهْرَا فِيْ كِتَابِ اللهِ يَوْمَ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالأَرْضَ مِنْهَا أَرْبَعَةٌ حُرُمٌ

“แท้ จริงจำนวนเดือน ณ อัลลอฮฺนั้นมีสิบสองเดือนในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน จากเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือนซึ่งเป็นเดือนที่ต้องห้าม...”

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อธิบายว่า สี่เดือนที่ต้องห้ามนั้นคือ เดือนซุลกะอฺดะฮฺ ซุลฮิจญะฮฺ มุฮัรรอม และรอญัับมุฎ็อร โดยสามเดือนแรกเป็นสามเดือนต่อเนื่องกัน แต่เดือนรอญับที่ถูกแยกมาเป็นเดือนที่ต้องห้ามระหว่างเดือนญุมาดาอัลอาคิ เราะฮฺกับเดือนชะอฺบาน เพราะในประวัติศาสตร์ของอาหรับก่อนยุคอิสลาม ชาวเผ่ารอบีอะตุบนุนิซารได้เรียกเดือนรอมฎอนว่าเดือนรอญับ และถือเป็นเดือนต้องห้ามแทนเดือนรอญับของเผ่ามุฎ็อร ซึ่งเดือนรอญับของมุฎ็อรเป็นการกำหนดที่ถูกต้องตามศาสนบัญญัติ จึงทำให้ท่านนบีเน้นในการกำหนดเดือนต้องห้ามว่าเป็นเดือนรอญับของมุฎ็อร
ส่วนเดือนมุฮัรรอมนั้นนอกจากเป็นเดือนต้องห้ามแล้ว ยังมีความประเสริฐอีกหลายประการดังต่อไปนี้
1. การถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม
เป็นการถือศีลอดที่มีความประเสริฐยิ่ง ซึ่งมีตำแหน่งรองจากเดือนรอมฎอน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
أَفْضَلُ الصِّيَامِ بَعْدَ رَمَضَانَ شَهْرُ اللهِ المُحَرَّمُ
ซึ่ง มีใจความว่า “การถือศีลอดที่ประเสริฐยิ่งหลังจากเดือนรอมฎอน คือการถือศีลอดเดือนของอัลลอฮฺที่ต้องห้าม(อัลมุฮัรรอม)” (บันทึกโดยอิมามมุสลิม อบูดาวู้ด และติรมีซีย์)
ดังนั้น ผู้ใดมีความสามารถที่จะถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอมทุกวัน เกือบทุกวัน หรือบางวัน ก็เป็นการดีในการให้เกียรติเดือนที่ต้องห้ามนี้ หากไม่สามารถถือศีลอดหลายวัน ก็ให้ปฏิบัติความประเสริฐประการต่อไป

2. การถือศีลอดวันที่ 10 มุฮัรรอม ที่เราเรียกกันว่า อาชูรออฺ
ซึ่ง เป็นวันที่มีเกียรติในศาสนาอื่น ด้วย เช่น ศาสนายิว เพราะเป็นวันที่ท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม ได้รับความปลอดภัยจากฟิรเอานฺ จึงเป็นวันแห่งการขอบคุณของบนีอิสรออีล และเป็นที่รู้กันดีว่าท่านนบีมูซาได้ถือศีลอดในวันนี้ เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และท่านได้ทราบว่าชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺกำลังถือศีลในวันนั้น ท่านนบีจึงประกาศให้เป็นวันถือศีลอดของชาวมุสลิมด้วย โดยกล่าวว่า


أَنَا أَحَقُّ بِمُوْسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ
“ฉัน มีข้อเกี่ยวพันกับมูซามากกว่าพวกท่าน(โอ้ชาวยิว)” ท่านนบีจึงถือศีลอดวันนั้นและใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดด้วย” (บันทึกโดยบุคอรียฺและมุสลิม)
บรรดานักปราชญ์อิสลามชี้ แจงว่า ในช่วงแรกการถือศีลอดวันอาชูรออฺ(สิบมุฮัรรอม)เป็นวาญิิบ(จำเป็นต้องปฏิบัติ ) เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีการใช้ให้ถือศีลอดเดือนรอมฎอน จึงถือเป็นการถือศีลอดฟัรฎูของมุสลิม แต่หลังจากที่มีบทบัญญัติใช้ให้บรรดามุสลิมีนถือศีลอดเดือนรอมฎอนเป็นฟัรฎู แล้วท่านนบีก็ไม่ได้บังคับให้ถือศีลอดในวันนี้ แต่ยืนยันในความประเสริฐด้วยถ้อยคำอันชัดเจน เช่น


سُئِلَ عَنْ صَوْمِ يَوْمِ عَاشُوْرَاءَ فَقَالَ يُكَفِّرُ السَّنَةَ المَاضِيَةَ
ท่านนบีถูกถามถึงการถือศีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านตอบว่า “ลบล้างความผิดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา” (บันทึกโดยมุสลิม)
ดัง นั้น บรรดาอุละมาอฺจึงมีความเห็นตรงกันถึงความประเสริฐของการถือศีลอดในวันอาชูรอ อฺ แต่อุละมาอฺส่วนมากมีความเห็นชอบให้ถือศีลอดวันตาซูอาอฺไปด้วย คือวันที่ 9 ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งท่านนบี  ได้กล่าวว่า


لَئِنْ بَقِيْتُ إِلَى قَابِلٍ َلأَصُوْمَنَّ التَّاسِعَ وَالعَاشِرَ
“หากฉันมีชีวิตถึงปีหน้า แน่นอน ฉันจะถือศีลอดวันที่เก้าและวันที่สิบ” (บันทึกโดยอิมามอะหมัด)
และ อุละมาอฺบางท่านมีความเห็นชอบให้ถือ ศีลอดวันที่ 11 รวมไปด้วย เพราะมีหะดีษบทหนึ่งบ่งชี้ถึงการถือศีลอดวันก่อนอาชูรออฺและวันหลังอาชูรออฺ แต่เนื่องจากหะดีษนี้มีสายสืบอ่อนมาก(ฎออีฟญิดดัน) จึงไม่ควรนำมาใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจ

อ่านต่อที่ http://www.islaminthailand.org/dp6/?q=story%2F85